1. วาทยากรผู้ควบคุมวง (Conductor) ผู้กำกับวงดนตรีออร์เคสตร้าหรือวงนักร้องหมู่ ซึ่งเป็นผู้ชี้บอกจังหวะและระยะเวลาในการบรรเลงดนตรี
2. ไวโอลินลำดับที่ 1 - First violin (นักไวโอลินที่นั่งใกล้วาทยากรคือหัวหน้าวงดนตรีหรือ Concert Master ตำแหน่งของนักไวโอลินลำดับที่ 1 จำเป็นจะต้องอยู่ใกล้วาทยากรให้มากที่สุด ตำแหน่งเครื่องเป่าและแตรปกติจะอยู่ระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ ของเครื่องสาย)
3. ไวโอลินลำดับที่ 2 - Second violin
4. เชลโล่ - Cello
5. วิโอล่า - Viola
6. ดับเบิลเบส - Double bass
7. อิงลิช ฮอร์น - English horn
8. โอโบ - Oboe
9. ฟลูต - Flute
10. เบส คลาริเนต - Bass clarinet
11. คลาริเนต - Clarinet
12. บาสซูน - Bassoon
13. คอนทรา บาสซูน - Contra Bassoon
14. เฟรนช์ฮอร์น - French Horn
15. แซกโซโฟน - Saxophone
17. ทูบา - Tuba
18. ทรอมโบน - Trombone
19. ทรัมเปต - Trumpet
20. เปียโนหรือฮาร์พ Piano, Harp
21. ทิมปานี - Timpani [(ตำแหน่งเครื่องดนตรีที่อยู่ห่างวาทยากรที่สุดคือ กลุ่มของเครื่องดนตรีประเภทตี - Percussion)
22. ฉาบ - Cymbal
23. เบส ดรัม - Bass Drum
24. ไทรแองเกิ้ล - Triangle
25. กลอง - side หรือ Snare Drum
26. Tubular Bells - ระฆังราว
27.ไซโลโฟน - Xylophone ระนาดฝรั่ง ในบางกรณีที่แสดงเปียโนคอนแชร์โต้ ตำแหน่งของเปียโนจะถูกผลักมาอยู่ข้างหน้า
Chamber music คือดนตรีสำหรับการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี โดยนักดนตรีแต่ละคนจะมีแนวบรรเลงของตนเองต่างจากคนอื่น ๆ ไม่เหมือนกับวงดนตรีสำหรับวงดนตรีออร์เคสตร้า ที่มักจะมีนักดนตรีหลายคนต่อแนวบรรเลงหนึ่งแนว ดนตรีแชมเบอร์มิวสิคนี้ เรียกตามจำนวนคนที่เล่นดังนี้
DUET: สำหรับผู้เล่น 2 คน
TRIO: สำหรับผู้เล่น 3 คน
QUARTET: สำหรับผู้เล่น 4 คน
QUINTET: สำหรับผู้เล่น 5 คน
SEXTET: สำหรับผู้เล่น 6 คน
SEPTET: สำหรับผู้เล่น 7 คน
OCTET: สำหรับผู้เล่น 8 คน
NONET: สำหรับผู้เล่น 9 คน
String Quartet เป็นคีตลักษณ์แบบ Chamber music ที่สำคัญ ประกอบด้วยผู้เล่นไวโอลิน 2 คน วิโอลาและเชลโลอย่างละ 1 คน สำหรับ String trio นั้นจะประกอบด้วยเครื่องสายล้วน ๆ 3 เครื่อง และหากตัดเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่งออกไปแล้วเพิ่มเปียโนเข้าไป 1 หลังจะเรียกว่า Piano trio หรือหากเพิ่มฮอร์นเข้าไปแทน เรียกว่า Horn trio เป็นต้น
(บทความจากหนังสือดนตรีคลาสสิก)
ศัพท์ดนตรีที่น่ารู้
Accent เน้น
Piano เบา
Pianissimo เบามาก
Pianississimo เบามากและอ่อนโยน
Forte ดัง
Fortissimo ดังมาก
Fortississimo ดังเท่าที่จะทำได้
Forzando เล่นด้วยความแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนเบาลง
Sforzando แรงแบบกระแทกแล้วค่อยๆ ผ่อนเบาลง โดยความตั้งใจที่จะแสดงถึงความเชี่ยวชาญในการแสดงดนตรีชิ้นนั้น
Mezzo piano ค่อนข้างจะเบา
Mezzo forte ดังพอสมควร
Rallentando, Ritenuto ค่อย ๆ ผ่อนจังหวะให้ช้าลง
Introduction บทนำของเพลง
Pause เรียกว่า “ศูนย์” หมายถึงจังหวะเสียงยามตามความพอใจ
Coda ลงจบของบทเพลง
Fine จบบทเพลง
Cantata บทดนตรีที่มีการร้องเดี่ยวและหมู่
A tempo กลับไปใช้จังหวะเดิม
Cadenza บทบรรเลงเดี่ยวที่ผู้ประพันธ์เขียนขึ้น
Concerto บทประพันธ์ดนตรีที่แสดงความสามารถของผู้เล่นเครื่องดนตรีเดี่ยวและวงออร์เคสต้า ซึ่งมีลักษณะของการเล่นรับสลับกันบางครั้งก็เป็นการแสดงเดี่ยวเครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น คอนแชร์โต้สำหรับไวโอลิน 2 คัน
Mass ดนตรีที่จัดไว้สำหรับพิธีทางศาสนาโรมันคาทอลิก
Opus ผลงานลำดับที่ เป็นคำมาจากภาษาละตินแปลว่า “ผลงาน” Opus ตามด้วยหมายเลขซึ่งแสดงลำดับผลงานของคีตกวีที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เช่น Beethoven: in A flat major opus 1 หรือ op. 1 หมายถึงผลงานชิ้นที่ 1 ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ และถ้ามีชิ้นย่อยลงไปอีกก็ใช้ no. หรือ number เช่น opus.40, no. 2 เป็นต้น
Crescendo การเพิ่มจากเสียงเบาไปหาดัง
Diminuendo ทำเสียงลดลงทีละน้อย
Symphony บทประพันธ์ดนตรีลักษณะเดียวกับ sonata ที่ประกอบด้วย 4 ท่อน หรือมากกว่านั้นแต่ใช้วงออร์เคสต้าบรรเลงเต็มวง
Solo เดี่ยว เช่น violin solo หมายถึงการเดี่ยวไวโอลิน
Sonata บทประพันธ์ดนตรีที่ประกอบด้วยหลายท่อนหรือกระบวนที่แตกต่างกัน ซึ่งทั่วไปประกอบด้วย 4 ท่อน ท่อนที่ 1. An allegro มีชีวิตชีวา ท่อนที่ 2. A slow movement เป็นท่อนที่ช้า ท่อนที่ 3. A scherzo มีความรื่นเริงสบาย ๆ ท่อนที่ 4. An allegro มีชีวิตชีวา
ต่อไปนี้เป็นศัพท์ดนตรีบอกความช้าเร็วของจังหวะ ซึ่งมักจะปรากฎทั่วไปในแผ่นเสียง คำบรรยายเพลงทุกชนิด และต้นฉบับ มีประโยชน์สำหรับบอกแนวทางคร่าว ๆ ให้ทราบถึงบรรยากาศของเพลง
จังหวะทั่ว ๆ ไป แบ่งออกเป็น 3 พวก # ช้า - ปานกลาง - เร็ว
จำพวกช้าแบ่งออกเป็น
Lento ช้ามากที่สุดในจำพวกช้าด้วยกัน
Largo ช้ามากที่สุดเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่า Lento
Larghetto ช้ารองลงมาจาก Largo
Adagio ช้ามาก
Andante ช้าพอประมาณ
Andantino ช้าพอประมาณ แต่เร็วกว่า Andante หรือเร็วที่สุดในจำพวกช้าทั้งหมดนี้
จำพวกปานกลางมีอย่างเดียวคือ
Moderato ปานกลางธรรมดา
จำพวกเร็วแบ่งออกเป็น
Allegretto เร็วพอสมควร
Allegro เร็ว
Vivace เร็วอย่างร่าเริง (เล่นแบบกระตุกๆ)
Presto เร็วมาก
Prestissimo เร็วจี๋
ศัพท์ต่อไปนี้แสดงถึงความรู้สึกของจังหวะทำนอง
Grave อย่างโศกเศร้า
Maestoso อย่างสง่าผ่าเผย องอาจ
Tempo giusto ธรรมดา - ปานกลาง
Agitato อย่างร้อนรนตื่นเต้น
Mosso อย่างว่องไว
Con moto อย่างกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา
Accent เน้น
Piano เบา
Pianissimo เบามาก
Pianississimo เบามากและอ่อนโยน
Forte ดัง
Fortissimo ดังมาก
Fortississimo ดังเท่าที่จะทำได้
Forzando เล่นด้วยความแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนเบาลง
Sforzando แรงแบบกระแทกแล้วค่อยๆ ผ่อนเบาลง โดยความตั้งใจที่จะแสดงถึงความเชี่ยวชาญในการแสดงดนตรีชิ้นนั้น
Mezzo piano ค่อนข้างจะเบา
Mezzo forte ดังพอสมควร
Rallentando, Ritenuto ค่อย ๆ ผ่อนจังหวะให้ช้าลง
Introduction บทนำของเพลง
Pause เรียกว่า “ศูนย์” หมายถึงจังหวะเสียงยามตามความพอใจ
Coda ลงจบของบทเพลง
Fine จบบทเพลง
Cantata บทดนตรีที่มีการร้องเดี่ยวและหมู่
A tempo กลับไปใช้จังหวะเดิม
Cadenza บทบรรเลงเดี่ยวที่ผู้ประพันธ์เขียนขึ้น
Concerto บทประพันธ์ดนตรีที่แสดงความสามารถของผู้เล่นเครื่องดนตรีเดี่ยวและวงออร์เคสต้า ซึ่งมีลักษณะของการเล่นรับสลับกันบางครั้งก็เป็นการแสดงเดี่ยวเครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น คอนแชร์โต้สำหรับไวโอลิน 2 คัน
Mass ดนตรีที่จัดไว้สำหรับพิธีทางศาสนาโรมันคาทอลิก
Opus ผลงานลำดับที่ เป็นคำมาจากภาษาละตินแปลว่า “ผลงาน” Opus ตามด้วยหมายเลขซึ่งแสดงลำดับผลงานของคีตกวีที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เช่น Beethoven: in A flat major opus 1 หรือ op. 1 หมายถึงผลงานชิ้นที่ 1 ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ และถ้ามีชิ้นย่อยลงไปอีกก็ใช้ no. หรือ number เช่น opus.40, no. 2 เป็นต้น
Crescendo การเพิ่มจากเสียงเบาไปหาดัง
Diminuendo ทำเสียงลดลงทีละน้อย
Symphony บทประพันธ์ดนตรีลักษณะเดียวกับ sonata ที่ประกอบด้วย 4 ท่อน หรือมากกว่านั้นแต่ใช้วงออร์เคสต้าบรรเลงเต็มวง
Solo เดี่ยว เช่น violin solo หมายถึงการเดี่ยวไวโอลิน
Sonata บทประพันธ์ดนตรีที่ประกอบด้วยหลายท่อนหรือกระบวนที่แตกต่างกัน ซึ่งทั่วไปประกอบด้วย 4 ท่อน ท่อนที่ 1. An allegro มีชีวิตชีวา ท่อนที่ 2. A slow movement เป็นท่อนที่ช้า ท่อนที่ 3. A scherzo มีความรื่นเริงสบาย ๆ ท่อนที่ 4. An allegro มีชีวิตชีวา
ต่อไปนี้เป็นศัพท์ดนตรีบอกความช้าเร็วของจังหวะ ซึ่งมักจะปรากฎทั่วไปในแผ่นเสียง คำบรรยายเพลงทุกชนิด และต้นฉบับ มีประโยชน์สำหรับบอกแนวทางคร่าว ๆ ให้ทราบถึงบรรยากาศของเพลง
จังหวะทั่ว ๆ ไป แบ่งออกเป็น 3 พวก # ช้า - ปานกลาง - เร็ว
จำพวกช้าแบ่งออกเป็น
Lento ช้ามากที่สุดในจำพวกช้าด้วยกัน
Largo ช้ามากที่สุดเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่า Lento
Larghetto ช้ารองลงมาจาก Largo
Adagio ช้ามาก
Andante ช้าพอประมาณ
Andantino ช้าพอประมาณ แต่เร็วกว่า Andante หรือเร็วที่สุดในจำพวกช้าทั้งหมดนี้
จำพวกปานกลางมีอย่างเดียวคือ
Moderato ปานกลางธรรมดา
จำพวกเร็วแบ่งออกเป็น
Allegretto เร็วพอสมควร
Allegro เร็ว
Vivace เร็วอย่างร่าเริง (เล่นแบบกระตุกๆ)
Presto เร็วมาก
Prestissimo เร็วจี๋
ศัพท์ต่อไปนี้แสดงถึงความรู้สึกของจังหวะทำนอง
Grave อย่างโศกเศร้า
Maestoso อย่างสง่าผ่าเผย องอาจ
Tempo giusto ธรรมดา - ปานกลาง
Agitato อย่างร้อนรนตื่นเต้น
Mosso อย่างว่องไว
Con moto อย่างกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา
“ …. การจะหาความสำราญจากเพลงดี ๆ สักเพลงหนึ่งนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องไปรู้ถึงชีวิตของนักแต่งเพลง หรือรู้เบื้องหลังของการแต่งเพลง หรือวันที่ หรือเลขหมาย โอปุส บันไดเสียง หรือความรู้ททางเทคนิคอื่น ๆ เลย….”
ซิกมัน เสปธ
ซิกมัน เสปธ
กำเนิดวงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง กระทรวงวัง
เรื่องราวของครูเพลงในยุคต่อๆ มาแต่ละคน แต่ละรุ่นนั้น ล้วนมีแหล่งกำเนิด ความรู้ ความชำนาญด้านดนตรีสากล มาจาก พระเจนดุริยางค์ ผู้ฝึกสอน ผู้ดูแล วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง หรือ วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร แทบทั้งสิ้น
จึงขอนำเอาเรื่องราวของ วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง มาเล่าสู่กันฟังโดยสังเขป ดังนี้คือ
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์ จะให้มีกิจการดนตรีสากลขึ้นในประเทศสยาม โดยมุ่งหวังให้ชาวไทย ได้รับรู้และสัมผัสกับดนตรีตะวันตก ตามแบบอย่างอริยะประเทศทั้งหลาย
ในปีพ.ศ 2455 ได้ทรงสถาปนาวงดนตรี เครื่องสายฝรั่งหลวง ขึ้นสังกัด กรมมหรสพ กระทรวงวัง โดยว่าจ้างครูฝรั่งชาวอิตาเลียนมาเป็นครูฝึกสอน นักดนตรีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักดนตรีไทย สังกัดวงปี่พาทย์หลวงด้วยกันทั้งสิ้น การฝึกหัดจึงไม่สู้ได้ผล เพราะนักดนตรีแต่ละคนล้วนแล้วแต่สูงอายุ และไม่สันทัดกับเครื่องดนตรีตะวันตก
อุปสรรคที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสื่อความ เพราะครูผู้ฝึกสอนพูดภาษาไทยไม่ได้ นักดนตรีก็พูดและฟังภาษาต่างประเทศไม่ได้อีกเช่นกัน จำเป็นต้องอาศัยล่ามแปล ส่วนล่ามเองนั้น ก็มีพื้นฐานความรู้ด้านดนตรีน้อยมาก ปัญหาจึงเกิดขึ้นมากมายตลอดมา
เมื่อลุเข้าปีพ.ศ. 2457 ครูผู้ฝึกสอน จำเป็นต้องเดินทางกลับมาตุภูมิ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวงวงนี้จึงขาดครูผู้สอน เกิดความระส่ำระส่าย และค่อยๆ ทรุดโทรมลงไปทุกขณะ ผู้บัญชาการ กรมมหรสพ จึงได้กราบบังคมทูล ให้ยุบวงลงเสีย
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสียดายที่จะยุบเลิกวงตามคำกราบบังคมทูล เพราะเป็นวงที่ทรงสถาปนาด้วยพระองค์เอง จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ขุนเจนรถรัฐ ซึ่งรับราชการอยู่กรมรถไฟหลวง และเป็นผู้มีความรู้และความชำนาญด้านการดนตรีสากล เนื่องจากได้เข้าร่วมกับวงดนตรีต่างประเทศอยู่เสมอๆ ให้มารับผิดชอบ ดูแลและฟื้นฟู วงดนตรีสากลวงนี้ต่อไปให้ได้
ขุนเจนรถรัฐ ได้เข้ามารับราชการที่ วงเครื่องสายฝรั่งหลวง เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2460 ในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกรม มีหน้าที่ฝึกสอนและปรับปรุงวงดนตรีนี้เพียงอย่างเดียว
ขุนเจนรถรัฐ หรือ พระเจนดุริยางค์ได้ปรับปรุงแนวทางของวงดนตรีวงนี้ ให้ถูกต้องตามแบบของดุริยางค์สากล และทำการฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น จนมีสมรรถภาพดีขึ้นทันตาเห็น และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงเจนดุริยางค์ ในเวลาต่อมา
ในชั่วเวลาเพียง 3 ปีต่อมา วงดนตรีวงนี้ก็สามารถบรรเลงเพลงไล้ท์มิวสิก และเพลงคลาสสิกได้ เช่น Symphonic Suite; Symphonic Poem เป็นที่พอพระราชหฤทัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวเป็นมากนัก
จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปิดการแสดง Symphonic Concert สำหรับประชาชนขึ้น ณ โรงละครหลวงสวนมิสกวันและที่ศาลาสหทัย สถานกาแฟนรสิงห์ เป็นประจำทุกสัปดาห์ จนหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศเสนอข่าวว่า เป็นวงดนตรีที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออก
หลวงเจนดุริยางค์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระเจนดุริยางค์
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวงก็ถูกโอนย้ายไปสังกัดกรมศิลปากร เรียกชื่อว่า "วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร"
วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง หรือ วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากรนี้ เป็นแหล่งกำเนิดนัดนตรีสากลเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งต่อมากลายเป็นครูเพลงผู้แต่งทำนองคำร้อง เป็นหัวหน้าวงดนตรี เป็นนักดนตรีที่สืบสาน และวิวัฒนาการทางดนตรีสืบต่อกันเรื่อยมา อาทิเช่น ครูนารถ ถาวรบุตร ผู้ควบคุมวงดนตรี
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9470000022171
เรื่องราวของครูเพลงในยุคต่อๆ มาแต่ละคน แต่ละรุ่นนั้น ล้วนมีแหล่งกำเนิด ความรู้ ความชำนาญด้านดนตรีสากล มาจาก พระเจนดุริยางค์ ผู้ฝึกสอน ผู้ดูแล วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง หรือ วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร แทบทั้งสิ้น
จึงขอนำเอาเรื่องราวของ วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง มาเล่าสู่กันฟังโดยสังเขป ดังนี้คือ
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์ จะให้มีกิจการดนตรีสากลขึ้นในประเทศสยาม โดยมุ่งหวังให้ชาวไทย ได้รับรู้และสัมผัสกับดนตรีตะวันตก ตามแบบอย่างอริยะประเทศทั้งหลาย
ในปีพ.ศ 2455 ได้ทรงสถาปนาวงดนตรี เครื่องสายฝรั่งหลวง ขึ้นสังกัด กรมมหรสพ กระทรวงวัง โดยว่าจ้างครูฝรั่งชาวอิตาเลียนมาเป็นครูฝึกสอน นักดนตรีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักดนตรีไทย สังกัดวงปี่พาทย์หลวงด้วยกันทั้งสิ้น การฝึกหัดจึงไม่สู้ได้ผล เพราะนักดนตรีแต่ละคนล้วนแล้วแต่สูงอายุ และไม่สันทัดกับเครื่องดนตรีตะวันตก
อุปสรรคที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสื่อความ เพราะครูผู้ฝึกสอนพูดภาษาไทยไม่ได้ นักดนตรีก็พูดและฟังภาษาต่างประเทศไม่ได้อีกเช่นกัน จำเป็นต้องอาศัยล่ามแปล ส่วนล่ามเองนั้น ก็มีพื้นฐานความรู้ด้านดนตรีน้อยมาก ปัญหาจึงเกิดขึ้นมากมายตลอดมา
เมื่อลุเข้าปีพ.ศ. 2457 ครูผู้ฝึกสอน จำเป็นต้องเดินทางกลับมาตุภูมิ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวงวงนี้จึงขาดครูผู้สอน เกิดความระส่ำระส่าย และค่อยๆ ทรุดโทรมลงไปทุกขณะ ผู้บัญชาการ กรมมหรสพ จึงได้กราบบังคมทูล ให้ยุบวงลงเสีย
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสียดายที่จะยุบเลิกวงตามคำกราบบังคมทูล เพราะเป็นวงที่ทรงสถาปนาด้วยพระองค์เอง จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ขุนเจนรถรัฐ ซึ่งรับราชการอยู่กรมรถไฟหลวง และเป็นผู้มีความรู้และความชำนาญด้านการดนตรีสากล เนื่องจากได้เข้าร่วมกับวงดนตรีต่างประเทศอยู่เสมอๆ ให้มารับผิดชอบ ดูแลและฟื้นฟู วงดนตรีสากลวงนี้ต่อไปให้ได้
ขุนเจนรถรัฐ ได้เข้ามารับราชการที่ วงเครื่องสายฝรั่งหลวง เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2460 ในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกรม มีหน้าที่ฝึกสอนและปรับปรุงวงดนตรีนี้เพียงอย่างเดียว
ขุนเจนรถรัฐ หรือ พระเจนดุริยางค์ได้ปรับปรุงแนวทางของวงดนตรีวงนี้ ให้ถูกต้องตามแบบของดุริยางค์สากล และทำการฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น จนมีสมรรถภาพดีขึ้นทันตาเห็น และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงเจนดุริยางค์ ในเวลาต่อมา
ในชั่วเวลาเพียง 3 ปีต่อมา วงดนตรีวงนี้ก็สามารถบรรเลงเพลงไล้ท์มิวสิก และเพลงคลาสสิกได้ เช่น Symphonic Suite; Symphonic Poem เป็นที่พอพระราชหฤทัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวเป็นมากนัก
จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปิดการแสดง Symphonic Concert สำหรับประชาชนขึ้น ณ โรงละครหลวงสวนมิสกวันและที่ศาลาสหทัย สถานกาแฟนรสิงห์ เป็นประจำทุกสัปดาห์ จนหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศเสนอข่าวว่า เป็นวงดนตรีที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออก
หลวงเจนดุริยางค์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระเจนดุริยางค์
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวงก็ถูกโอนย้ายไปสังกัดกรมศิลปากร เรียกชื่อว่า "วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร"
วงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง หรือ วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากรนี้ เป็นแหล่งกำเนิดนัดนตรีสากลเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งต่อมากลายเป็นครูเพลงผู้แต่งทำนองคำร้อง เป็นหัวหน้าวงดนตรี เป็นนักดนตรีที่สืบสาน และวิวัฒนาการทางดนตรีสืบต่อกันเรื่อยมา อาทิเช่น ครูนารถ ถาวรบุตร ผู้ควบคุมวงดนตรี
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9470000022171
Etude (เอ - ทู้ด)
Etude เป็นคำในภาษาฝรั่งเศสมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสโบราณคือ Estudie ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษคือ Study ความหมายคือ
1. เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อพัฒนาเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งโดยเฉพาะ
2. เป็นเพลงที่เน้นเทคนิคใดเทคนิคหนึ่ง ที่นิยมนำมาบรรเลงเพราะความไพเราะของมัน
3. บทเพลงสั้นๆ โดยปกติแล้วจะเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาด้านดนตรี
4. บทเพลงสั้นๆ ที่แต่งสำหรับงานบรรเลงเดี่ยว เพื่อใช้เป็นแบบฝึกหัดสำหรับฝึกทักษะและความชำนาญ
5. บทเพลงบทสั้นๆ โดยปกติแล้วจะแต่งสำหรับเปียโน นิยมใช้เพื่อสอนนักดนตรีในเทคนิคที่มักจะมีปัญหาในการเล่น เช่น สเกล (Scale) หรือการรัว (Trill) บทประพันธ์แบบ Etude เกิดขึ้นหลังการประพันธ์แบบ Toccata ได้รับความนิยมมากในยุคบาโร้ค Etude ได้รับการพัฒนารูปแบบโดยคีตกวีคนสำคัญคือ Frederic Chopin และ Franz Liszt
Etude เป็นคำในภาษาฝรั่งเศสมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสโบราณคือ Estudie ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษคือ Study ความหมายคือ
1. เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อพัฒนาเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งโดยเฉพาะ
2. เป็นเพลงที่เน้นเทคนิคใดเทคนิคหนึ่ง ที่นิยมนำมาบรรเลงเพราะความไพเราะของมัน
3. บทเพลงสั้นๆ โดยปกติแล้วจะเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาด้านดนตรี
4. บทเพลงสั้นๆ ที่แต่งสำหรับงานบรรเลงเดี่ยว เพื่อใช้เป็นแบบฝึกหัดสำหรับฝึกทักษะและความชำนาญ
5. บทเพลงบทสั้นๆ โดยปกติแล้วจะแต่งสำหรับเปียโน นิยมใช้เพื่อสอนนักดนตรีในเทคนิคที่มักจะมีปัญหาในการเล่น เช่น สเกล (Scale) หรือการรัว (Trill) บทประพันธ์แบบ Etude เกิดขึ้นหลังการประพันธ์แบบ Toccata ได้รับความนิยมมากในยุคบาโร้ค Etude ได้รับการพัฒนารูปแบบโดยคีตกวีคนสำคัญคือ Frederic Chopin และ Franz Liszt
Franz Schubert: String Quartet No. 14 in D minor
ผลงาน String Quartet No. 14 in D minor เขียนขึ้นในปี 1824 โดย Franz Schubert หลังจากที่เขารู้ตัวว่าเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ เพลงนี้เป็นที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งคือ “The Death and the Maiden Quartet” เพราะในกระบวนที่สองดัดแปลงมาจากทำนองเปียโนประกอบเพลง (Song หรือ Lied) ที่เขาแต่งขึ้นในปี 1817 ซึ่งเพลงนั้นมีชื่อว่า Death and the Maiden ในผลงานเพลงควอเต็ทจำนวนมากที่เขาแต่งขึ้น เพลงนี้คือ String Quartet No.14 และจัดอยู่ในลำดับ D. 810 ตามระบบของ Erich Deutsch ที่จัดเรียบเรียงหมวดหมู่เพลงของ Schubert ผลงานชิ้นนี้คือ String Quartet ที่แบ่งออกเป็นสี่กระบวน
Allegro, in D minor ในอัตราจังหวะปกติ
Andante con moto, in G minor อยู่ในอัตราจังหวะ 2/2
Scherzo: Allegro molto, in D minor อยู่ในอัตราจังหวะ 3/4
Presto, in D minor อยู่ในอัตราจังหวะ 6/8
ในกระบวนแรกของเพลง รวมทั้ง String Quartet ที่แต่งขึ้นก่อนหน้า (String Quartet No. 13 in A minor, D 804) และแต่งขึ้นถัดจากเพลงนี้ (String Quartet No. 15 in G, Op. 161, D 887) และ String quintet (String Quintet in C, D 956) ของเขา ถือเป็นผลงาน Chamber music ที่มีความยาวและรายละเอียดมากที่สุดในบรรดา String Quartet ที่เขาแต่งขึ้นทั้งหมด แม้ว่าจะแค่บางส่วนของเพลงก็ตาม เเพลงนี้อยู่ในฉันทลักษณ์แบบ Sonata form ที่ประพันธ์ขึ้นใน 3 บันไดเสียงหลักคือ D minor, F major และ A minor
กระบวนที่สองคือทำนองหลัก (Theme) ดัดแปลงมาจากเพลงที่เกี่ยวกับความาตายของเขาที่ชื่อ Der Tod und das Madchen (D 531 การจัดระบบเพลงของ Schubert ตามแบบเยอรมัน) และทำนองแปรเปลี่ยน 5 ทำนอง และท่อนจบของกระบวน (Coda)
ทำนองหลักของกระบวนที่สามสามารถได้ยินผ่านทำนองชุดเพลงเต้นรำของเปียโน แต่งขึ้นในแบบ Trio ในบันไดเสียง D major และการซ้ำของท่วงทำนองหลัก
ท่วงทำนองเพลงเต้นรำ Tarantella (ทำนองเพลงเต้นรำพื้นเมืองทางตอนใต้ของอิตาลี โดยปกติจะอยู่ในจังหวะ 6/8, 18/8 หรือ 4/4) ในกระบวนสุดท้ายอยู่ในฉันทลักษณ์แบบ Sonata-rondo ท่วงทำนอง Rondo ที่ปรากฎขึ้นในช่วงแรกจะวนกลับมาในตอนท้าย ส่วนในช่วงกลางเป็นการพัฒนาทำนอง ส่วนท่อนจบของกระบวน (Coda) อยู่ในบันไดเสียงเมเจอร์ที่แสดงถึงชัยชนะและการไขว่คว้า
ในปี 1878 Robert Franz คีตกวีชาวเยอรมันได้ดัดแปลง String Quartet บทนี้เป็น Piano duet และนี่คือหนึ่งในบทประพันธ์ String Quartet คู่กับบทประพันธ์ String Quartet No. 11 in F minor (Quartetto serioso) ของ Beethoven ซึ่ง Mahler นำมาเรียบเรียงใหม่สำหรับวงออร์เคสตร้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้วิธีการทวีคูณภาคของเชลโลบางส่วนด้วยดับเบิ้ลเบส
ในปี 1930 คีตวกีชาวอังกฤษ John Fouldsได้เรียบเรียงเพลงนี้ขึ้นใหม่สำหรับออร์เคสตร้าต็มวง ในช่วงทศวรรษที่1990 คีตวกีชาวอเมริกัน Andy Stein ได้เรียบเรียงเพลงนี้ขึ้นใหม่ในฉบับ "Symphony in D minor, Death and the Maiden" สำหรับบรรเลงด้วยออร์เคสตร้าเต็มวง นำออกแสดงโดยวง St. Paul Chamber Orchestra, Buffalo Philharmonic รวมทั้งวงอื่นๆ อีกหลายวง ส่วนการบันทึกเสียงเพลงนี้ในฉบับของ Andy Stein ถูกนำมาผลิตออกจำหน่ายโดยบริษัทแผ่นเสียง Naxos Records เมื่อเดือนมีนาคม ปี2009
ผลงาน String Quartet No. 14 in D minor เขียนขึ้นในปี 1824 โดย Franz Schubert หลังจากที่เขารู้ตัวว่าเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ เพลงนี้เป็นที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งคือ “The Death and the Maiden Quartet” เพราะในกระบวนที่สองดัดแปลงมาจากทำนองเปียโนประกอบเพลง (Song หรือ Lied) ที่เขาแต่งขึ้นในปี 1817 ซึ่งเพลงนั้นมีชื่อว่า Death and the Maiden ในผลงานเพลงควอเต็ทจำนวนมากที่เขาแต่งขึ้น เพลงนี้คือ String Quartet No.14 และจัดอยู่ในลำดับ D. 810 ตามระบบของ Erich Deutsch ที่จัดเรียบเรียงหมวดหมู่เพลงของ Schubert ผลงานชิ้นนี้คือ String Quartet ที่แบ่งออกเป็นสี่กระบวน
Allegro, in D minor ในอัตราจังหวะปกติ
Andante con moto, in G minor อยู่ในอัตราจังหวะ 2/2
Scherzo: Allegro molto, in D minor อยู่ในอัตราจังหวะ 3/4
Presto, in D minor อยู่ในอัตราจังหวะ 6/8
ในกระบวนแรกของเพลง รวมทั้ง String Quartet ที่แต่งขึ้นก่อนหน้า (String Quartet No. 13 in A minor, D 804) และแต่งขึ้นถัดจากเพลงนี้ (String Quartet No. 15 in G, Op. 161, D 887) และ String quintet (String Quintet in C, D 956) ของเขา ถือเป็นผลงาน Chamber music ที่มีความยาวและรายละเอียดมากที่สุดในบรรดา String Quartet ที่เขาแต่งขึ้นทั้งหมด แม้ว่าจะแค่บางส่วนของเพลงก็ตาม เเพลงนี้อยู่ในฉันทลักษณ์แบบ Sonata form ที่ประพันธ์ขึ้นใน 3 บันไดเสียงหลักคือ D minor, F major และ A minor
กระบวนที่สองคือทำนองหลัก (Theme) ดัดแปลงมาจากเพลงที่เกี่ยวกับความาตายของเขาที่ชื่อ Der Tod und das Madchen (D 531 การจัดระบบเพลงของ Schubert ตามแบบเยอรมัน) และทำนองแปรเปลี่ยน 5 ทำนอง และท่อนจบของกระบวน (Coda)
ทำนองหลักของกระบวนที่สามสามารถได้ยินผ่านทำนองชุดเพลงเต้นรำของเปียโน แต่งขึ้นในแบบ Trio ในบันไดเสียง D major และการซ้ำของท่วงทำนองหลัก
ท่วงทำนองเพลงเต้นรำ Tarantella (ทำนองเพลงเต้นรำพื้นเมืองทางตอนใต้ของอิตาลี โดยปกติจะอยู่ในจังหวะ 6/8, 18/8 หรือ 4/4) ในกระบวนสุดท้ายอยู่ในฉันทลักษณ์แบบ Sonata-rondo ท่วงทำนอง Rondo ที่ปรากฎขึ้นในช่วงแรกจะวนกลับมาในตอนท้าย ส่วนในช่วงกลางเป็นการพัฒนาทำนอง ส่วนท่อนจบของกระบวน (Coda) อยู่ในบันไดเสียงเมเจอร์ที่แสดงถึงชัยชนะและการไขว่คว้า
ในปี 1878 Robert Franz คีตกวีชาวเยอรมันได้ดัดแปลง String Quartet บทนี้เป็น Piano duet และนี่คือหนึ่งในบทประพันธ์ String Quartet คู่กับบทประพันธ์ String Quartet No. 11 in F minor (Quartetto serioso) ของ Beethoven ซึ่ง Mahler นำมาเรียบเรียงใหม่สำหรับวงออร์เคสตร้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้วิธีการทวีคูณภาคของเชลโลบางส่วนด้วยดับเบิ้ลเบส
ในปี 1930 คีตวกีชาวอังกฤษ John Fouldsได้เรียบเรียงเพลงนี้ขึ้นใหม่สำหรับออร์เคสตร้าต็มวง ในช่วงทศวรรษที่1990 คีตวกีชาวอเมริกัน Andy Stein ได้เรียบเรียงเพลงนี้ขึ้นใหม่ในฉบับ "Symphony in D minor, Death and the Maiden" สำหรับบรรเลงด้วยออร์เคสตร้าเต็มวง นำออกแสดงโดยวง St. Paul Chamber Orchestra, Buffalo Philharmonic รวมทั้งวงอื่นๆ อีกหลายวง ส่วนการบันทึกเสียงเพลงนี้ในฉบับของ Andy Stein ถูกนำมาผลิตออกจำหน่ายโดยบริษัทแผ่นเสียง Naxos Records เมื่อเดือนมีนาคม ปี2009